วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

10 สุดยอดบุคคลที่เคยล้มเหลวแต่ไม่เคยล้มเลิก


ซากดึกดำบรรพ์ กุญแจไขสู่อดีต

ฟอสซิล (fossil)
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการขุดพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) มาบ้างแล้ว ซึ่งฟอสซิลคือสิ่งที่นักโบราณคดีนำมาใช้ในการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในอดีต เพื่อบอกเล่าเรื่องราว และประวัติศาสตร์ของโลกที่เราอาศัยอยู่
ซากดึกดำบรรพ์คือซากพืชหรือสัตว์ที่ถูกทับถมอยู่ในชั้นหินในช่วงเวลาต่างๆ ซากดึกดำบรรพ์ในหินจะบ่งบอกประเภท และชนิดของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นขณะที่เกิดการสะสมของตะกอน เมื่อนักโบราณคดีขุดพบซากดึกดำบรรพ์ ก็จะนำซากดึกดำบรรพ์ที่ขุดพบมาศึกษาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด ประโยชน์ของการศึกษาซากดึกดำบรรพ์คือ ทำให้เราทราบประวัติความเป็นมาของโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเป็นหลักฐานในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น ลักษณะภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศในขณะที่สัตว์เหล่านี้มีชีวิตอยู่ว่ามีสภาพภูมิประเทศอย่างไร เช่น อาจจะเป็นหนองน้ำ เป็นทุ่งหญ้าแห้งแล้ง เป็นต้น
ซากพืชซากสัตว์เหล่านี้เมื่อทับถมกันเป็นเวลานานก็จะกลายเป็นปิโตรเลียม ประโยชน์ของซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างชั้นหินในพื้นที่ต่างกัน เช่น ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์กลุ่มเดียวกัน ชนิดเดียวกัน แสดงว่าชั้นหินที่พบซากดึกดำบรรพ์ แม้ว่าจะอยู่ต่างพื้นที่กัน แต่เกิดการสะสมตัวเป็นชั้นตะกอนในแอ่งสะสมตัว ในช่วงเดียวกัน ทำให้นักธรณีวิทยาสามารถหาอายุเปรียบเทียบชั้นหินได้
TIPS
ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติมาเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว พิสูจน์ได้จากข้อมูลการศึกษาค้นพบฟอสซิลของไดโนเสาร์ในแถบจังหวัดภาคอีสานของไทย ที่ผ่านมานักธรณีวิทยาสามารถค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ที่มีอายุมากกว่า 200 ล้านปี หลายซากด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นไดโนเสาร์ในยุคครีเตเชียสหรือช่วงประมาณ 130 ล้านปีมาแล้ว
 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
ภาพ : Photos.com

คติธรรมดีดี

ทำเหตุในปัจจุบันดี ผลในอนาคตย่อมต้องดี สมเด็จพุฒาจารย์ (โต)

พูดมาเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้

เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง
เราก็วางเสีย ละเสีย ละอยู่ที่กาย ที่ใจตนนี่แหละ
อย่าไปละที่อื่น การหอบอดีต และ อนาคต
มาหมักสมไว้ในใจ ก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด... หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ผู้อื่นไม่ได้ทำจิตใจของเราเสร้าหมองหรือผ่องแผ่ว
เราเองเป็นผู้ทำจิตใจของตนเศร้าหมอง ผู้อื่นช่วยไม่ได้
แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ท่านทรงเป็นผู้บอกทางให้เท่านั้น หลวงปู่ขาว อนาลโย

พูดให้เขารักยากนักหนา พูดให้เขาด่าว่า ง่ายนิดเดียว  พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม

คนที่ตายไปแล้ว หากคนที่มีชีวิตอยู่
เขาสามารถจดจำได้ หรือ คิดถึงอยู่
ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่ตาย แต่คนที่มีชีวิตอยู่
กลับไม่มีใครกล่าวถึง หรือ คิดถึงเลย
นั้นคือผู้ตายไปแล้ว... หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ

ทุกข์เพราะเกิดดับ มันมีอยู่แล้ว
เอาราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มาเพิ่ม
... ยิ่งทุกข์ใหญ่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

คนไม่สนใจธรรม ธรรมก็ไม่เข้าถึงใจคน
จึงกลายเป็นคนสักว่าคน ธรรมก็สักว่าธรรม
ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ แม้คนจะมีจำนวนมาก และ
แสดงธรรมให้ฟังทั้งพระไตรปิฎก จึงเป็นเหมือนเทน้ำใส่หลังหมา
มันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมจึงไม่มีความหมายในใจของคน
เหมือนน้ำไม่มีความหมายบนหลังหมาฉะนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ผู้ปฏิบัติธรรม ตั้งตนอยู่ในกรอบแห่งศีลแล้ว
ก็ย่อมไม่ต้องเดือดร้อน เพราะศีลของตน
ยังบุคคลผู้มั่นในศีล ให้พ้นจากทุกข์โทษ
เวรภัยทั้งปวง ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หลวงพ่อแพร วัดพิกุลทอง

ทุกข์ด้วยอะไร ทุกข์ด้วยมั่นไม่เที่ยง มีแล้วหามีจริงไม่
เกิดแล้วดับไป นี่มันทุกข์อะไรอย่างนี้นะ ทุกข์ด้วยไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หลวงพ่อสด จันทสโร

ลักษณะของบุญ คือ ใจเราดี ใจเรามีความสุข
ใจเรามีความสบาย เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน
ไม่วุ่น ไม่วาย นี่แหละบุญ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


 
ที่มาhttp://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=298994&chapter=42

ภัยร้ายจากการนอนดึก

  การนอนดึกนั้นส่งผลกระทบร้ายแรงกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะเลย เพราะนอกจากจะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส มีโรคภัยเบียดเบียนแล้ว สุขภาพจิตก็ยังย่ำแย่อีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่าภัยร้ายจากการนอนดึก ส่งผลร้ายต่อร่างกายคุณอย่างไร ...
   การย่อยอาหาร
       ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ ต่างจากการนอนตรงต่อเวลา อุจจาระที่ถ่ายออกมาก็จะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่และไม่เหนียวหรือแข็งหยาบจนเกินไป เนื่องจากระบบการย่อยเกิดความอ่อนล้าจากการนอนดึก

    วิธีแก้ไข หากคุณต้องนอนดึกจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงจำพวกเนื้อสัตว์หรืออาหารเหนียวๆ เพื่อไม่ให้ลำไส้ทำงานหนัก แล้วถ้าตื่นนอนขึ้นมาแล้ว มีความรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ควรที่จะรับประทานไข่ นม หรือน้ำผลไม้แทนอาหารหนักจำพวกเนื้อสัตว์ ซึ่งช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้
   การขับถ่าย       การนอนดึก ทำให้เราปวดปัสสาวะบ่อยกว่าการนอนเร็ว เพราะร่างกายถูกใช้งานเกินขีดจำกัด กล้ามเนื้อข้างในจึงพยายามเอาพลังงานออกมาใช้ ซึ่งต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือ ปัสสาวะบ่อยทำให้เกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ นอกจากนั้นแล้วก็จะทำให้ท้องผูก ขับถ่ายมีปัญหา

    วิธีแก้ไข รับประทานแคลเซียมเม็ดเพื่อป้องกันเลือดจาง ทานวันละ 1 เม็ดเท่านั้น เพราะถ้าทานมากจะเกิดกระดูกงอกทับเส้นประสาท หรือดื่มน้ำมากๆ และควรเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อช่วยระบบเลือดและความดันโลหิตด้วย ไม่ควรใช้เครื่องดื่มชูกำลังมันก็จะซึมเข้าไปในเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และไปปะทุที่ขาหนีบ
   เหงื่อ
       คนที่นอนดึกจะไม่ค่อยมีเหงื่อออกทำให้ของเสียต่างๆ อยู่ในร่างกายเสมอ เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ฝ้า และการระบายน้ำก็จะตกไปเป็นภาระของไต เพื่อขับออกมาเป็นปัสสาวะ ทำให้ไตต้องทำงานหนัก และยังทำให้ปัสสาวะถี่อีกด้วย

    วิธีแก้ไข ดื่มน้ำมากๆ และควรออกกำลงกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเรียกเหงื่อให้ออกมากค่ะ
ที่มา http://women.thaiza.com/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%81_1212_155649_1212_.html

สูตรสู่ความสำเร็จ

ถ้า
A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z

มีค่าเท่ากับ

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26

แล้วจะพบว่า......


1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11 = 98%

     HARD WORK หรือ ทำงานหนัก มีค่าเท่ากับ 98 %


2) K+N+O+W+L+E+D+G+E = 11+14+15+23+12+5+4+7+5 = 96%

     KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %

3) L+O+V+E=12+15+22+5 = 54%

     LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54 %

4) L+U+C+K = 12+21+3+11 = 47%

     LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47 %

Q : ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ 100 %

     - ใช่เงินหรือเปล่า ?......... .... .....ไม่ใช่ !!!!!

    - ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?.........ไม่ใช่ !!!!!

Q : แล้วอะไรล่ะ ?

   Ans. : A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%

    ATTITUDE หรือ ทัศนคติ นั่นเอง ที่มีค่าเท่ากับ 100 %

ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่ ทุกปัญหามีทางออก . . บางทีแค่เพียงแต่เราเปลี่ยน 'ทัศนคติ ' ของเราเสียใหม่เท่านั้นเอง มีเพียงแต่ 'ทัศนคติ' ของเราเท่านั้น ที่จะเป็นตัวนำทาง ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต และงานที่ทำ

....ความคิด & ทัศนคติ....และสุดท้าย .... การลงมือทำ

ที่มา http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=84669

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

วิธีฝึกสมอง...ให้เป็นคนเก่ง


"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาวสวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่าคนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้องใช้สมองเกินกำลังหรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน

Multitasking คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจและระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลงต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่เจรจา ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกันเพื่อป้องกันความผิดพลาด
สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง

ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศมีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็นจากผู้ใหญ่ที่มีความรู้และประสบการณ์จะดีกว่า

กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทันความจำเป็นของคุณ สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือกาแฟสักหนึ่งถ้วย ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น เพื่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย
การแข่งขันกระตุ้นสมอง ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า "ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม

สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้างเพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรงขึ้น และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ

สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือคิดตามลำดับ เช่น 1 2 3

สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้ เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง

ที่มา http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=67&post_id=59512

กัมมันตภาพรังสี


ประโยชน์และโทษของกัมมันตภาพรังสี
     1. ด้านธรณีวิทยา  มีการใช้ C-14 คำนวณหาอายุของวัตถุโบราณ หรืออายุของซากดึกดำบรรพ์ซึ่งหาได้ดังนี้ ในบรรยากาศมี C-14 ซึ่งเกิดจากไนโตรเจน รวมตัวกับนิวตรอนจากรังสีคอสมิกจนเกิดปฏิกิริยา แล้ว C-14 ที่เกิดขึ้นจะทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แล้วผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช และสัตว์กินพืช คนกินสัตว์และพืช ในขณะที่พืชหรือสัตว์ยังมีชีวิตอยู่ C-14 จะถูกรับเข้าไปและขับออกตลอดเวลา เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง การรับ C-14 ก็จะสิ้นสุดลงและมีการสลายตัวทำให้ปริมาณลดลงเรื่อยๆ ตามครึ่งชีวิตของ C-14 ซึ่งเท่ากับ 5730 ปี



ดังนั้น ถ้าทราบอัตราการสลายตัวของ C-14 ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และทราบอัตราการสลายตัวในขณะที่ต้องการคำนวณอายุวัตถุนั้น ก็สามารถทำนายอายุได้ เช่น ซากสัตว์โบราณชนิดหนึ่งมีอัตราการสลายตัวของ C-14 ลดลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิมขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจาก C-14 มีครึ่งขีวิต 5730 ปี จึงอาจสรุปได้ว่าซากสัตว์โบราณชนิดนั้นมีอายุประมาณ 5730 ปี

   2. ด้านการแพทย์ ใช้รักษาโรคมะเร็ง ในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด กระทำได้โดยการฉายรังสีแกมมาที่ได้จาก โคบอลต์-60 เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ แล้วยังใช้โซเดียม-24 ที่อยู่ในรูปของ NaCl ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด เพื่อตรวจการไหลเวียนของโลหิต โดย โซเดียม-24 จะสลายให้รังสีบีตาซึ่งสามารถตรวจวัดได้ และสามารถบอกได้ว่ามีการตีบตันของเส้นเลือดหรือไม่
 
   3. ด้านเกษตรกรรม มีการใช้ธาตุกัมมันตรังสีติดตามระยะเวลาการหมุนเวียนแร่ธาตุในพืช โดยเริ่มต้นจากการดูดซึมที่รากจนกระทั่งถึงการคายออกที่ใบ หรือใช้ศึกษาความต้องการแร่ธาตุของพืช
  
   4. ด้านอุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมการผลิตแผ่นโลหะ จะใช้ประโยชน์จากกัมมันตภาพรังสีในการควบคุมการรีดแผ่นโลหะ เพื่อให้ได้ความหนาสม่ำเสมอตลอดแผ่น โดยใช้รังสีบีตายิงผ่านแนวตั้งฉากกับแผ่นโลหะที่รีดแล้ว แล้ววัดปริมาณรังสีที่ทะลุผ่านแผ่นโลหะออกมาด้วยเครื่องวัดรังสี ถ้าความหนาของแผ่นโลหะที่รีดแล้วผิดไปจากความหนาที่ตั้งไว้ เครื่องวัดรังสีจะส่งสัญญาณไปควบคุมความหนา โดยสั่งให้มอเตอร์กดหรือผ่อนลูกกลิ้ง เพื่อให้ได้ความหนาตามต้องการ


     ในอุตสาหกรรมการผลิตถังแก๊ส อุสสาหกรรมก่อสร้าง การเชื่อมต่อท่อส่งน้ำมันหรือแก๊สจำเป็นต้องตรวจสอบความเรียบร้อยในการเชื่อต่อโลหะ เพื่อต้องการดูว่าการเชื่อมต่อนั้นเหนียวแน่นดีหรือไม่ วิธีการตรวจสอบทำได้โดยใช้รังสีแกมมายิงผ่านบริเวณการเชื่อมต่อ ซึ่งอีกด้านหนึ่งจะมีฟิล์มมารับรังสีแกมมาที่ทะลุผ่านออกมา ภาพการเชื่อมต่อที่ปรากฎบนฟิล์ม จะสามารถบอกได้ว่าการเชื่อมต่อนั้นเรียบร้อยหรือไม่


     โทษของธาตุกัมมันตรังสี
     เนื่องจากรังสีสามารถทำให้ตัวกลางที่มันเคลื่อนที่ผ่าน

เกิดการแตกตัวเป็นไอออนได้ รังสีจึงมีอันตรายต่อมนุษย์ ผลของรังสีต่อมนุษย์สามารถแยกได้เป็น 2 ประเภทคือ ผลทางพันธุกรรมและความป่วยไข้จากรังสี ผลทางพันธุกรรมจากรังสี
จะมีผลทำให้การสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกายมนุษย์เกิดการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะเซลล์สืบพันธุ์ ส่วนผลที่ทำให้เกิดความป่วยไข้จากรังสี เนื่องจากเมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้รับรังสี โมเลกุลของธาตุต่างๆ ที่ประกอบเป็นเซลล์จะแตกตัว ทำให้เกิดอากาป่วยไข้ได้
      หลักในการป้องกันอันตรายจากรังสีมีดังนี้
      - ใช้เวลาเข้าใกล้บริเวณที่มีกัมมันตภาพรังสีให้น้อยที่สุด
      - พยายามอยู่ให้ห่างจากกัมมันตภาพรังสีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
      - ใช้ตะกั่ว คอนกรีต น้ำ หรือพาราฟิน เป็นเครื่องกำบังบริเวณที่มีการแผ่รังสี

   

10นิสัยทำร้ายสมองที่ไม่ควรมองข้าม


   ใครที่กำลังอยู่ในภาวะสมองตื้อคิดอะไรไม่ค่อยออก อย่ามองว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสาเหตุนั้นอาจมาจากการที่สมองโดนทำร้าย วันนี้มีความรู้เกี่ยวกับ 10 นิสัยที่ทำร้ายสมองมาฝากกัน1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ที่จริงแล้วการไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และทำให้สมองเสื่อมได้

2.กินอาหารมากเกินไป การกินในจำนวนที่เยอะเกินพอดี เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4.ทานของหวานมากเกินไป มีผลมากต่อการทำร้ายสมอง เพราะการทานหวานมากเกินไปจะขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาสมอง

5.การอดนอน คนที่อดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้ ส่วนการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน

6.มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อยๆ

7.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดเป็นเวลานานเป็นต้นเหตุของอาการสมองฝ่อ

8.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง ถ้าไม่ค่อยพูดจากับคนอื่นสมองก็จะไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเท่าที่ควร

9.นอนคลุมโปง เป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดของใครหลายคน แต่ที่จริงแล้วการนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

10.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/30877.html

เคล็ดลับแก้ง่วงในที่ทำงาน


1. พยายามทำงานที่ต้องใช้สมองให้เสร็จก่อนอาหารกลางวัน เพราะคอร์ติโซล (Cortisol) ซึ่งเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ช่วยให้มีสมาธิและมีความตื่นตัว จะอยู่ในระดับสูงสุดของวันตอนก่อนเที่ยง

             2. แอบงีบนิดนึง (ถ้าทำได้) การหลับตาแม้เพียง 10 นาที ก็สามารถทำให้เพื่อนๆ สดใสได้ครับ ถ้าแอบงีบไม่ได้ ก็ออกไปเดินรับอากาศบริสุทธิ์ กระโดดตบซัก 50 ที หรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันรสมินต์ซาบซ่า เพราะกลิ่นเปปเปอร์มินต์น่ะ มีส่วนทำให้สดชื่นได้ครับ

          
3. พึ่งพาคาเฟอีนซะหน่อย กาแฟเพียง 1 ถ้วย อาจช่วยเร่งเครื่องให้เพื่อนๆ ได้บ้าง แต่ถ้ามากจนเกินไป ก็จะทำให้รู้สึกใจสั่น กระวนกระวาย คุณคงไม่อยากตาแข็งทั้งๆ ที่อยากจะนอนเต็มแก่หรอกใช่มั้ยครับ เก็บกาแฟเอาไว้เวลาที่ง่วงจริงๆ ดีกว่า โดยเฉพาะหลังอาหารกลางวันมื้อใหญ่

             4. อย่าทานของหวานแก้ง่วง ของหวานทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ แต่ก็แค่ชั่วครู่เท่านั้นครับ หลังจากนั้นระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดต่ำลง จนคุณๆ รู้สึกพร้อมจะทรุดฮวบลงได้ทุกเมื่อ วิธีแก้ไขก็คือ แบ่งทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ สัก 5 - 6 มื้อ และมีส่วนผสมของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้การเผาผลาญพลังงานสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน จะได้รู้สึกสดชื่นอีกด้วยครับ
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/32480.html

หายหวัดในหนึ่งวัน


โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่จะเป็นหวัดปีละ 3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 9 วัน ซึ่งเท่ากับป่วยปีละเกือบหนึ่งเดือน!
แต่มีวิธีบรรเทาอาการป่วยที่น่าเบื่อนี้ได้ภายในหนึ่งวันเท่านั้น

เมื่อตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่สงสัยว่าจะเป็นหวัด ให้ดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้มากๆ เพื่อป้องกันการเจ็บคอหรือคัดจมูก ถ้าเจ็บคอให้กลั้วคอด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมเกลือครึ่งช้อนชา จะช่วยลดการอักเสบ ล้างเมือกในคอ อีกทั้งยังกำจัดแบคทีเรียรวมถึงไวรัส และอย่าลืมทำให้จมูกสะอาดปราศจากน้ำมูกเสมอโดยใช้สเปรย์สำหรับพ่นจมูก
พยายามทานยาแก้หวัดภายในสองชั่วโมง โดยไปหาเภสัชกรเพื่อจัดยาให้ตรงกับอาการ ถ้ามีอาการไอร่วมด้วย อาจไม่จำเป็นต้องทานยาแก้ไอหรืออมยาอม
แค่ทานน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะโดยอาจผสมลงในน้ำชา อาการจะดีขึ้น
หกชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการให้พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ระหว่างนั้นพยายามดื่มน้ำมากๆ ถ้าจะอาบน้ำควรอาบน้ำอุ่นแทนน้ำเย็น
หากดีขึ้นแล้วให้ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทานอาหารที่มีโปรตีนเช่น ข้าวแดง ปลา ถั่ว
ถ้าตื่นเช้ามายังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือโรคติดเชื้อ แต่หากดีขึ้นแล้วให้พักผ่อนอยู่กับบ้านอีกวันเพื่อให้แน่ใจว่าหายจากอาการหวัดจริงๆ.

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/32795.html

7 อาหารทานแล้วไม่แก่


อาหารที่เราจะแนะนำต่อไปนี้คืออาหาร 7 อย่าง ที่จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัย ไม่ว่าจะเป็นผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชา เพื่อให้คุณ ๆ ดูอ่อนกว่าวัยได้ภายใน 3-6 เดือน มีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ...

     1. หยุดผมร่วง ด้วยการรับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี สามารถช่วยป้องกันผมร่วงได้ดี หากรับประทานกล้วยในปริมาณที่พอดี จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่หนังศีรษะได้อย่างยาวนาน
     2. ลดผิวมัน ธัญญาหารล้วนอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของผลิตภายในร่างกาย ฉะนั้น การรับประทานธัญญาหารทุกเช้าจะช่วยลดปัญหาผิวมัน และเส้นผมมันบางได้ดี
     3. หยุดการลอกของผิวหนัง หากรับประทานปลาแซลมอนในเกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักเป็นประจำ จะช่วยทำให้หยุดปัญหาการหลุดลอกของผิวหนังได้
     4. ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก ใครอยากมีผิวที่เนียนใสเหมือนเด็กทารก ให้กินมะม่วงเป็นประจำ เนื่องจากมะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะ เพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระให้กลับมีความชุ่มชื่น และนุ่มเนียนอีกครั้ง
     5. ชะลอผมหงอก ถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร สามารถช่วยชะลอผมหงอกได้ เพราะถั่วลิสงมีวิตามินบี ที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลา แถมยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นด้วย
     6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี ฝรั่งหรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี จะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ เป็นประจำ ก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีได้ ทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยมากถึง 5 ปี
     7. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ อะโวคาโด ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษด้วย

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/32787.html

2012 ปรากฏการณ์ ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่

pole shift คือเหตการณ์ที่ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดใน ค.ศ. 2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดมานานแล้ว แม้แต่ตอนนี้ก็เกิด นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ตั้งแต่ที่ค้นพบขั้ว เหนือแม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปีหรืออาจเร็วกว่านั้น
ขั้วแม่เหล็กของพระอาทิตย์จะกลับทิศทางอยู่อย่างนั้น จนถึงปี ๒๕๕๕ เมื่อมันจะมีการกลับขั้วขึ้นอีกครั้งเมื่อ จุดสูงสุดของวงรอบดวงอาทิตย์ รอบใหม่มาถึง ทุกๆ ๑๑ ปี
ขั้วแม่เหล็กของโลกเองก็มีการพลิกตัวเช่นกัน แต่ด้วยช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ช่วงของการกลับขั้วมีช่วงห่างกัน ระหว่าง ๕๐๐๐ ถึง ๕๐ล้าน ปี และการกลับขั้วครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ ๗๔๐,๐๐๐ ปีก่อน นักวิจัยบางคนบอกว่า ดาวของเราได้เลยกำหนดการกลับขั้วนั้นมานานแล้ว และไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่า การกลับขั้วครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นอีกทีเมื่อใด
ใน ขณะนี้ ขั้วแม่เหล็กเหนือของโลกอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดา และนักวิทยาศาสตร์ก็รู้มานานแล้วด้วยว่า ตำแหน่งของขั้วแม่เหล็กนั้นเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา โดยในศตวรรษที่๒๐ ขั้วแม่เหล็กได้เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรต่อปี และเร็วนี้ ได้เพิ่มความเร็วขั้นเป็น ประมาณ๔๐กิโลเมตรต่อปี  นี้จะทำให้เข็มทิศในแอฟริกา เปลี่ยนไป ๑องศาใน๑ ศตวรรษ 
แกลตซาเมียร์ (Glatzmaier)  ได้ทำแบบจำลองโครงสร้างภายในแกนโลกขึ้นเพื่อหาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อแกนแม่ เหล็กโลก จากการทำการจำลองโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แสดงให้เห็นว่า สนามแม่เหล็กมีการเพิ่มขึ้น ลดลง และกลับขั้วเป็นบ้าง  การเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นเรื่องปกติ แกลตซาเมียร์ (Glatzmaier) กล่าว
พวกเขายังเรียนรู้ อีกด้วยว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อขั้วแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง การกลับขั้วกินเวลากว่าพันปี และระหว่างนั้น ขัดกับความเชื่อเดิมๆ สนามแม่เหล็กไม่ได้หายไป มันเพียงแค่ซับซ้อนขึ้นเท่านั้น แกลตซาเมียร์ กล่าว  เส้นแรงแม่เหล็กมีการบิดเบี้ยงและพันกัน ขั้วแม่เหล็กโผล่ขึ้นมาในที่ๆแปลกประหลาด ขั้วแม่เหล็กโลกใต้อาจอยู่ที่ แอฟริกา หรือขั้วแม่เหล็กเหนืออาจอยู่ที่ตาฮิติ แต่ว่าสนามแม่เหล็กของโลกยังคงมีอยู่ และมันจะยังคงปกป้องเราจากรังสีในอวกาศและพายุดวงอาทิตย์ 

หากเกิดการสลับขั้วแม่เหล็กโลกจริง จะทำให้เกิดหายนะถึงขั้นผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากหรือไม่
เนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกมีบทบาทสำคัญในการเป็นเกราะคุ้มกันรังสีอันตรายจากห้วง อวกาศ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า หากเกิดความผิดปกติของสนามแม่เหล็กโลก เช่น สนามแม่เหล็กหายไปซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก ก็ย่อมส่งผลต่อสรรพชีวิตบนพื้นโลกอย่างแน่นอน
ผลกระทบที่ว่านี้จะรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายหรือเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่หรือไม่? ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
จากการเทียบบันทึกการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตซึ่งเกิดมาแล้วหลายครั้ง เราไม่พบว่ามีความสอดคล้องกับเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิด ขึ้นบนโลก นี่น่าจะพอเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า หากโลกสลับขั้วแม่เหล็กในช่วงนี้ ก็คงไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย
งานวิจัยด้านสนามแม่เหล็กโลกเมื่อไม่นานมานี้เผยว่าสนามแม่เหล็กโลกซับซ้อนกว่าที่คิด โลกมิใช่มีเพียงแม่เหล็กแท่งใหญ่แท่งเดียว แต่ยังมีแม่เหล็กขนาดย่อมกระจายอยู่หลายส่วนทั่วโลก ช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก แม่เหล็กตัวใหญ่จะอ่อนกำลังลงไปมากจนเผยให้เห็นอิทธิผลของแม่เหล็กตัวย่อย
ในช่วงเวลาดังกล่าวโลกจะมีขั้วแม่เหล็กเหนือใต้หลายแห่งบนโลก สนามแม่เหล็กโลกจะซับซ้อนยุ่งเหยิงมาก แน่นอนว่าช่วงนี้เราอาจใช้เข็มทิศไม่ได้ สัตว์บางชนิดที่ต้องพึ่งพาสนามแม่เหล็กโลกก็อาจประสบความยากลำบาก แต่ด้านดีก็คือ สนามแม่เหล็กยังคงมีกำลังมากพอที่จะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตได้

17เรื่องไร้สาระของผู้หญิง ...ที่ผู้ชายควรเข้าใจ



1.บ้าดูดวง...ถึงจะรู้ว่างมงายก็เถอะ แต่เธอก็ดูได้ทุกหมอ ทุกรูปแบบ ดูครั้งเดียวไม่พอ ยังขอเบิ้ลตลอด
2.ต่อมน้ำตาตื้น...แค่หนังซึ้งๆ เพลงเศร้าๆ น้ำตาก็ทะลักออกมาได้ไม่ยากเย็น โฆษณาหรือการ์ตูน ยังเอามาเลียนแบบกันบ่อยๆ
3.ติดละครเหลือเกิน...ละครโปรดมาเมื่อไหร่ นั่งติดทีวี ไม่ไปไหนเลย หรือถ้าอยู่นอกบ้านก็ต้องรีบกลับมาอย่างเร่งด่วน ทั้งที่อ่านเรื่องย่อจากหนังสือพิมพ์ไปก่อนแล้ว
4.เมาธ์แตก...เจอเพื่อนทีไรเป็นอันจ้อไม่หยุดจนลืมโลกทุกทีซิน่า และไม่พลาดเรื่องนินทาอีกด้วย โดยเฉพาะนินทาแฟนหรือสามีล่ะก็ ชอบนักเชียวแหละ
5.ห้ามอยู่เรื่อย...เวลาคุณทำอะไร เธอก็มักจะห้ามอยู่เรื่อย ห้ามมองผู้หญิง ห้ามซื้อของแพง ห้ามโน่นห้ามนี่ แต่กับตัวเอง เธอทำทุกอย่างเต็มที่
6.มีปัญหากับการขับรถบ่อยๆ....ขับรถไปไหนต่อไหนที ไม่ผิดกฎจราจรก็ต้องหลงทางสักอย่าง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
7.เจออาหารจานโปรดทีไร ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน ไม่รู้กริยาหญิงหายไปไหน...ไดอ่งไดเอท ไม่สนแล้ว 

8.ชอบใช้มารยาหญิงเอาตัวรอด
9.ปากก็บอกว่ารักคุณคนเดียว แต่ก็ชอบแอบปิ๊งคนอื่นอยู่เรื่อยๆ แถมยังแก้ตัวอีกว่าเป็นการเช็กเรตติ้งแค่นั้นเอง
10.แกล้งทำตัวเป็นสาวบอบบาง...อยากให้คุณทะนุถนอม แต่ตอนเธออารมณ์บ่จอย ทำไมแรงเยอะชะมัด
11.เห็นของลดราคาเป็นไม่ได้...เหมือนมีแม่เหล็กมาดึงดูด อยู่ไกลถึงฮ่องกง ยังดูดเงินจากกระเป๋าเธอได้ จริงไหมล่ะครับ
12.ขี้หึงได้ทุกสถานการณ์ และทุกสถานที่ด้วย
13.ชอบเรียกร้องความสนใจ ด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดดังเกินเหตุ โดยไม่จำเป็น
14.ถึงจะเป็นกุลสตรีอย่างไร แต่ถ้าเจอภาพนู้ดก็ชอบดู...เหมือนกันแหละครับ เพียงแต่ไม่อยากให้ใครรู้เป็นอันขาด เสียภาพพจน์หมด
15.กลัวน้ำหนักขึ้นจนหน้ามืด...เลยไปสักขีดจะเป็นจะตายให้ได้ แต่มักมีข้อแก้ตัวเสมอ ถ้าเจอขนมถูกใจ เช่น เค้กผลไม้, เค้กลูกพรุน, หรือคุกกี้ ที่มักจะมีคำว่า Low fat อยู่ด้วย จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ถูกใจเป็นใช้ได้แล้ว
16.อยากผิวขาว หน้าขาว อ่อนเยาว์... อ่อนวัย เครื่องสำอางหน้าขาวถึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
17.และยังมีอื่นๆ อีกมากมายเสียจนจาระไนไม่หวาดไม่ไหว...
ที่มา http://news.clipmass.com/story/17-เรื่องไร้สาระของผู้หญิง-ที่ผู้ชายควรเข้าใจ---25368

สุดยอดวิชา กังฟู แห่งวัด เส้าหลิน